คุณฟอง ผู้ชนะแคมเปญ Dream Destination พาเที่ยวเนเธอร์แลนด์
แคมเปญ Expedia Dream Destination เที่ยวให้ฟินกับทริปในฝัน เปิดโอกาสให้เหล่าเพื่อนๆ นักเดินทางได้ลุ้นไปเที่ยวตามปลายทางในดวงใจ เพียงเขียนเล่าว่า “ทริปในฝัน” ของคุณคือการไปที่ไหน และทำไมใจถึงบอกว่าต้องเป็นที่นี่
คลิกเพื่อติดตามเรื่องราวของผู้โชคดีคนอื่นๆ
10/10/2017-17/10/2071
EXPEDIA เที่ยวให้ฟินกับทริปในฝัน
SEVEN DAYS SEVEN NIGHTS IN THE NETHERLANDS
Introduction
จุดเริ่มต้นของทริปนี้เกิดจากการได้รางวัลจากการร่วมกิจกรรม “Expedia เที่ยวให้ฟินกับทริปในฝัน” ซึ่งกติกาก็คือให้เขียนบรรยายถึงประเทศในฝันที่อยากไปมากที่สุด ตอนนั้นเราเห็นในเพจ facebook: Expedia.co.th แล้วรู้สึกว่าลองเล่นดูก็ไม่เสียหายอะไร เลยเขียนถึงเนเธอร์แลนด์ไป เพราะพ่อเราอยากไปมาก พอเขียนส่งไปก็ลืมไปเลย แล้ววันนึงก็มีเบอร์แปลกโทรมา ปรากฏว่า เห้ยยยย ได้ว่ะ ถึงแม้จะไม่ใช่รางวัลใหญ่สุดก็ดีใจมากแล้ว ได้เที่ยวแบบมีคนช่วยจ่ายเงินเฉยเลย 55555 หัวเราะอย่างผู้ชนะ พอประกาศผลเรียบร้อย ทาง Expedia ก็นัดแนะให้ทุกคนที่ได้รางวัลมาเจอกัน อธิบายเงื่อนไขอย่างชัดเจน ให้ถามคำถาม พูดคุยถึงการเตรียมตัวต่างๆ ทริปนี้จึงบังเกิดขึ้น ต้องขอขอบคุณ Expedia มา ณ ทีนี้ด้วยนะคะ
การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
เราเริ่มต้นด้วยการจองตั๋วเครื่องบินก่อนเลย เพราะว่าจะขอวีซ่าก็ต้องมีตั๋วเครื่องบินไปยื่นด้วย ซึ่งเราก็จองกับทาง Expedia นี่แหละ เราแค่เข้าไปในแอพพลิเคชั่นของ Expedia แล้วดูว่าจะบินไฟลท์ไหน สายการบินอะไร แคปเจอร์หน้าจอไว้ แล้วส่งไปทาง Expedia เค้าก็จัดการจองให้หมดเลย สบายเว่อร์ ซึ่งอันนี้ก็คือใช้ voucher ที่ได้รางวัลมาได้เลย ไม่มีความยุ่งยากใดๆ หลังจากนั้นก็มีรหัสการจองส่งมาที่ e-mail ของเรา ซึ่งเราสามารถเอารหัสนี้ไปเข้าเว็บไซต์ของสายการบินนั้นๆเพื่อดูรายละเอียดต่างๆได้ เหมือนจองกับสายการบินโดยตรงเลย หลังจากมีตั๋ว ยื่นวีซ่า เตรียมเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็จัดกระเป๋ารอวันที่จะได้ไปเที่ยวเลยฮะ
วิธีการจองตั๋วเครื่องบินผ่านแอพพลิเคชั่น Expedia
Trip Starts!
เราบินจากสุวรรณภูมิไปอัมสเตอร์ดัมค่ะ พอลงเครื่องปุ๊ปก็ไปผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็เดินไปรับกระเป๋า ใช้เวลาไม่นานเลยค่ะ ระบบจัดการที่สนามบินดีมากๆ เมื่อทุกคนพร้อมแล้วก็เริ่มออกเดินทางเลยค่ะ ตามแพลนที่วางไว้ เราจะเริ่มเที่ยวที่เมือง Delft ก่อนแล้ววนขึ้นไป Amsterdam จะเป็นเมืองสุดท้ายก่อนกลับไทย
เริ่มเดินทางจากสนามบิน Schipol ไป Delft โดยรถไฟ ถามว่ารู้ได้ไงว่าต้องขึ้นสายไหน ทริปนี้เราพึ่งพา Google Maps ตลอดทั้งทริปเลยจ้า เชื่อถือได้นะ โอเคเลย แต่เราก็คอยถามคนแถวนั้นด้วย เพื่อความชัวร์ ใช้เวลาบนรถไฟประมาณ 40 นาที ก็มาถึง Delft แล้วคร้าบบบบ มุ่งหน้าสู่โรงแรมอย่างไว พร้อมที่จะพักผ่อนเพื่อลุยเที่ยวในวันต่อไป
โรงแรมที่เราไปพักที่ Delft ก็คือ Hotel Johannes Vermeer ซึ่งการตกแต่งภายในโรงแรมจะเต็มไปด้วยผลงานของ Johannes Vermeer ศิลปินชื่อดังที่อาศัยอยู่ในเมือง Delft ชื่อห้องพักแต่ละห้องก็จะเป็นชื่อผลงานของศิลปินคนนี้ด้วยค่ะ บรรยากาศในโรงแรมอบอุ่นมากๆ พนักงานทุกคนใจดีและเฟรนด์ลี่สุดๆ คอยตอบคำถาม แนะนำการเดินทางและที่เที่ยวต่างๆได้ดีมากๆเลย แนะนำสุดๆ แต่มีข้อเสียคือไม่มีลิฟท์ เวลาขนของก็จะลำบากหน่อยๆ แต่เค้าก็ช่วยยกกระเป๋าเดินทางไปส่งเราที่ห้องด้วยนะ

ภายใน 2 คืนที่เรานอนที่นี่ เราจะไปเที่ยว 2 เมืองด้วยกันคือ Delft และ The Hague
ตื่นเช้ามาวันแรกก็เริ่มด้วยอาหารเช้าที่โรงแรม ห้องอาหารบรรยากาศโรแมนติกมากๆ


อาหารก็เป็นสไตล์ยุโรป มีพวกเบเกอรี่ต่างๆ โยเกิร์ต ซีเรียล ผลไม้ แฮม ชีส scrambled egg
อิ่มกันแล้วเราก็เดินไปขึ้นรถแทรมเพื่อไป The Hague เลย ไม่ยาก ตาม Google Maps เหมือนเดิม 5555 สถานที่แรกที่เราจะเที่ยวกันในวันนี้ก็คือ Maurishuis เป็นเหมือนคลังผลงานศิลปะมากมายของราชวงศ์เลย
พอไปถึงแล้วเราก็ไปซื้อตั๋วเข้าชม Gallery พนักงานใจดีมากๆ เค้าถามเราว่าเราเป็นนักเรียนรึเปล่า เราก็ตอบว่าใช่ แต่เรียนที่ไทยนะ เค้าบอกว่าก็ได้ส่วนลดเหมือนกัน สุดยอดดดด เราเลยจ่ายค่าเข้าแค่ 11 ยูโร จากปกติ 14 ถ้าพนักงานไม่ถามก็คงจ่ายราคาเต็มไปและ ใครไปเที่ยวแล้วเป็นนักเรียน นักศึกษาอย่าลืมพกบัตรไปเผื่อด้วยน้า มาดูรูปข้างในกันดีกว่า




ชื่นชมผลงานศิลปะจนพอใจแล้วเราก็เดินทางไปต่อกันที่ Peace Palace เลย ตรงนี้เป็นสถานที่ที่คดีไทย-เขมรแย่งเขาพระวิหารถูกตัดสินด้วยนะ เค้าไม่ให้เข้าไปชมข้างในเลยได้แต่ยืนถ่ายรูปจากข้างนอก เหมือนแวะมาให้เห็น อ้อ ตึกนี้นี่เอง แล้วก็กลับ 5555 แอบผิดหวังเล็กน้อย แต่มันก็สวยดีนะ

โอเคเค้าไม่ให้เราเข้า Palace งั้นเรา move ไปที่สุดท้ายกันเลยดีกว่า จะได้กลับไปเดินเล่นใน Delft ต่อ สถานที่สุดท้ายใน The Hague ก็คือ De Pier Scheveningen แค่เห็นชื่อก็เดาได้แล้วว่าเป็นท่าเรือ 5555 เราก็กะจะมาชิวๆ เดินเล่นริมหาด หาของกินไรงี้ แต่ปรากฏว่า มันไม่ได้ดีอย่างที่เราคิด เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวที่สร้างขึ้นมาเหมือนจะยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ให้อารมณ์นั้นเลย เราก็เลยเดินเล่นถ่ายรูปนิดหน่อย กินฟิชแอนด์ชิพแล้วก็กลับไปเดินเล่นที่ Delft ดีกว่า

จบ The Hague ในวันนี้ นั่งแทรมกลับมาพักที่โรงแรม ส่งคุณพ่อผู้หมดแรงแป๊ปนึงแล้วก็ออกไปเดินเล่นตามประสาแม่ลูกจ้า บรรยากาศดีมากๆ แต่แทบไม่มีร้านอะไรเปิดเลยนอกจากร้านอาหารและร้านนั่งชิล


Day 2
เช้าวันที่ 2 เริ่มวันสายกว่าวันแรกนิดนึง เพราะวันนี้เราเที่ยวใกล้ๆ เที่ยวใน Delft แล้วตอนบ่ายจะย้ายเมืองไป Utrecht แล้วจ้า สถานที่แรกที่เราจะมุ่งหน้าไปก็คือ Royal Delft ซึ่งเป็นทั้ง museum และ factory ทำเซรามิกลายคราม ของขึ้นชื่อของเมืองนี้เลย ก่อนเข้าก็ต้องซื้อตั๋วก่อนนะฮะ มี Audio Guide ให้ด้วย มีหลายภาษาเลยทีเดียว แต่ไม่มีภาษาไทยนะจ้ะ ใครจะมาเที่ยวเมืองนี้แนะนำให้เดินเยอะๆนะ เพราะเมืองมันไม่ได้ใหญ่มาก เวลาเดินจะเห็นนู่นนี่เยอะดี แล้วก็จะอินนนน ฟินด้วย 5555 เนื่องจากเรามีคุณพ่อซึ่งค่อนข้างจะมีอายุมาด้วย เลยนั่งบัสนิดนึงแล้วเดิน และพบว่าทางเดินไป Royal Delft คือสวยมาก เชิญรับชมภาพเลยฮะ
เก็บเกี่ยวบรรยากาศระหว่างทาง







หลังจากละลายทรัพย์ให้ Royal Delft แล้วเราก็มาเดิน Market Square ตรงใจกลางเมืองเลย อยู่ตรงลานหน้า City Hall ของกินเพียบ ได้บรรยากาศคนเมืองจริงๆ แฮปปี้มาก แค่ได้ดูคนที่นี่เค้าใช้ชีวิตกันก็มีความสุขแล้ว







หลังจากเต็มอิ่มกับทั้งอาหารและบรรยากาศที่ตลาด เราก็เดินกลับมาที่โรงแรมเพื่อจะเอากระเป๋าที่ฝากไว้ แล้วไปต่อยังเมือง Utrecht ปรากฏว่าทางเดินที่ตอนเช้ายังไม่มีร้านค้ากลับกลายเป็นตลาดขายดอกไม้จ้า ดีงามไปอีก ดอกไม้ที่นี่สวยมากๆ สีสันสดใส เดินผ่านทีไรก็อดถ่ายรูปไม่ได้เลย จะต้องจัดสักแชะ สองแชะ
การเดินทางข้ามเมืองในวันนี้จะออกแนวขี้เกียจหน่อยๆ เลยให้พนักงานโรงแรมเรียกแท็กซี่ให้มารับเพื่อไปส่งที่สถานีรถไฟ แล้วจะนั่ง intercity train ข้ามเมือง แต่พอขึ้นแท็กซี่เท่านั้นแหละ เค้าก็ยื่นข้อเสนอให้เรา ถามว่าอยากจ่ายเท่าไหร่ การต่อราคาจึงเริ่มต้นขึ้น ปรากฏว่าลงตัวที่ 100 ยูโรจ้า (ประมาณ 4000 บาท) เค้าก็มาส่งเราถึงหน้าโรงแรมเลย ดีเว่อร์ แล้วเค้าก็ให้เราดูมิเตอร์ เค้าบอกว่า This is normal price. เราก็ดู โอ้ มาย ก้อด มันแพงมาก ราคาจริงอยู่ที่ประมาณ 165 ยูโร ดีนะเนี่ยที่เราต่อราคา 5555 ลงจากแท็กซี่เรียบร้อยก็เดินเข้าไป Check-in โรงแรมแบบชิลๆ เลยค่ะ ในเมืองนี้เราพักที่โรงแรม Apollo Hotel ซึ่ง Location ดีมาก ใจกลางเมืองสุดๆ ดีที่มีลิฟท์ด้วย พนักงานไม่เฟรนด์ลี่เท่าที่ Delft นะคะ แต่ก็บริการดีเหมือนกัน หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยเราก็ออกมาเดินเล่นรอเวลาอาหารเย็นค่ะ เมืองนี้จะดูใหญ่กว่า Delft มากๆ มีความวุ่นวายกว่า ดูเจริญกว่า มีซอยช้อปปิ้งด้วย เราเห็นปุ๊บก็เล็งไว้เลย หลังมื้อเย็นเจอกัน หุหุหุ
บรรยากาศช่วงบ่ายๆเย็นๆในเมือง Utrecht ค่ะ


เดินเล่นจน 5 โมงเย็นก็ได้เวลาร้านอาหารเปิดแล้วค่ะ วันนี้มื้อเย็นของเราจะเป็นอาหารเวียดนามค่ะ มาไม่ทันไรก็คิดถึงอาหารเอเชียกันแล้ว เราจะไปร้าน Saigon กันค่ะ เพราะว่าเห็นใน Brochure ของโรงแรม ก็เลยคิดว่ามันน่าจะดี รวมทั้ง ณ จุดนั้น ต้องการของร้อน พอเห็นว่าเป็นร้านอาหารเวียดนาม ภาพเฝอก็ลอยขึ้นมาทันที
บรรยากาศภายในร้านค่ะ โอเคเลยนะ พนักงานบริการดีมากๆด้วยค่ะ ส่วนอาหารก็อร่อยมากกกกกกก ไม่มีภาพอาหารมาฝากเลย พอเห็นอาหารปุ๊บ กล้องคืออะไร ไม่รู้จัก 5555 กินก่อนเลยจ้า ใครมา Utrecht แล้วต้องการอาหารเอเชียแนะนำร้านนี้เลยค่ะ Saigon Vietnamese restaurant หาเส้นทางได้ใน Google Maps เช่นเคยค่ะ อิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินกลับโรงแรมไปพักผ่อนเพื่อลุยต่อสำหรับวันพรุ่งนี้ค่ะ
Day 3
วันที่ 3 มาถึงแล้ว เป็นอีกหนึ่งวันที่เรารอคอยมากๆ เพราะวันนี้เราจะไป Open-air museum ใน Arnhem ค่ะ แต่ก่อนจะออกเดินทางก็ต้องจัดอาหารเช้าโรงแรมสักหน่อยค่ะ แม้จะเปลี่ยนโรงแรมแล้ว แต่อาหารเช้านั้น ทำไมมันเหมือนเดิมยังกะกินที่เดิมอย่างนี้ล่ะ
แต่ที่นี่ห้องอาหารวิวดีนะคะ ถ้านั่งโต๊ะริมหน้าต่างมองลงไปจะเห็นทางม้าลายสายรุ้ง ซึ่งไฟจราจรตรงนั้นจะเป็นรูปกระต่าย miffy ด้วย หรือที่เค้าเรียกกันว่า Miffy’s Traffic Light ค่ะ


Openluchtmuseum หรือ Netherland open-air museum ตั้งอยู่ในเมือง Arnhem เดินทางจาก Utrecht ไปได้ไม่ยากเลยค่ะ ใช่แล้ว ตาม Google Maps เหมือนเดิม museum อันนี้เหมือนเป็นหมู่บ้านนึงที่แบ่งออกเป็นโซนต่างๆ เช่น บ้านริมน้ำ สวน สถานที่เลี้ยงสัตว์ โรงงาน ซึ่งจะมีตัวอย่างสิ่งก่อสร้างรวมทั้งสิ่งมีชีวิตจริงๆให้ดูกัน เหมือนย่อส่วนประเทศให้มาอยู่ใน museum แห่งนี้ เราใช้เวลาที่นี่นานมาก ตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงเกือบ 5 โมงเย็น ขอแนะนำให้มาถ้ามีเวลา เพราะมันเป็นที่ที่ทำให้เราเห็นถึงการเป็นอยู่ของชาวดัตช์ในสมัยก่อนจริงๆ มีเจ้าหน้าที่สวมบทบาทเป็นชาวบ้านทำกิจกรรมต่างๆด้วย รวมทั้งบางจุดจะมี workshop ให้ทำ เช่น ทำอาหาร ซักผ้าแบบโบราณ มีทุกอย่างค่อนข้างครบในที่เดียวเลยล่ะค่ะ








หลังจากเดินเที่ยว museum จนเมื่อยขาเราก็เดินทางกลับสู่ Utrecht กันค่ะ วันนี้เราทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารไทยใจกลางเมืองเลยค่ะ ชื่อร้าน Mahanakorn ซึ่งเราค่อนข้างผิดหวังนะ อาหารไม่ค่อยโอเค ราคาก็แพงมากเลยค่ะ คิดถึงอาหารเวียดนามเมื่อวานเลยอ่า เศร้า แต่ไม่เป็นไร ไปเดินเล่น ช้อปปิ้งกันดีกว่า




ร้านค้าในเมืองนี้มีเยอะกว่า Delft มากๆ เห็นความแตกต่างของเมืองค่อนข้างชัดเลยค่ะ สำหรับเราได้เข้าไปเดินวนใน LUSH ก็พอใจแล้ว ซื้อกลับมาเยอะเชียว ราคาถูกกว่าที่ไทยมากๆ เลยค่ะ แต่ถ้าใครจะซื้อต้องดูดีๆน้า บางอันต้องเก็บไว้ในตู้เย็นตลอด เอากลับไปก็ใช้ไม่ได้ เดี๋ยวหน้าพังนะจ้ะ
Day 4
วันที่ 4 แล้วจ้า เช้าวันนี้ไม่กินอาหารเช้าโรงแรมละจ้า มีความเบื่อ เลยไปกิน Starbucks หน้าโรงแรมแทน ราคาพอๆ กับที่ไทยเลย

วันนี้เราจะไปเที่ยว Kasteel De Haar กัน เป็นเหมือนบ้านคนรวยในสมัยก่อน อยู่ในเมือง Utrecht นี่แหละ แต่จะออกไปนอกเมืองหน่อย เปิด Google Maps อีกเช่นเคย 555 ขอบอกว่ามันสวยมากแบบ stunning เลยอะ ใครมาเที่ยว Utrecht ต้องมานะ
ปราสาทจะเปิดตอน 11 โมง ส่วนสวนนั้นเปิดตั้งแต่เช้า ค่าเข้าก็จะมีสองราคา ถ้าไม่เข้าตัวปราสาท เดินชมสวนรวมๆ อย่างเดียวก็จะอยู่ที่ 6 ยูโร แต่ถ้าเข้าปราสาทด้วยจะ 16 ยูโรจ้า ไม่ขอบรรยายมาก ดูรูปเอานะ มันสวยมากจริงๆ







เราอยู่ที่นี่ประมาณ 3 ชั่วโมง ก่อนจะกลับโรงแรมไปเอากระเป๋าแล้วย้ายไป Giethoorn ในเมือง Steenwijk
Giethoorn (กีทูร์น) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในเมือง Steenwijkz (สตีนวิค) ในหมู่บ้านจะไม่มีถนนสำหรับรถยนต์ค่ะ มีแค่ทางเดินและทางปั่นจักรยาน คนที่นี่ส่วนใหญ่เดินทางด้วยเรือ เราเดินทางมาที่นี่โดยนั่งรถไฟข้ามเมืองมา แล้วต่อด้วยแทรมมาลงป้ายหน้าที่พักพอดีเลยค่ะ เราพักที่ d’Olde Hotel 1 คืนค่ะ เจ้าของโรงแรมน่ารักมาก เค้าแนะนำที่เที่ยวให้ครบทั่วบริเวณหมู่บ้านเลยค่ะ
ส่วนตัวเราชอบที่นี่มาก แค่เดินชิลก็มีความสุขแล้ว แต่ขอบอกว่านักท่องเที่ยวชาวเอเชียเยอะมากค่ะ โดยเฉพาะเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ เยอะเว่อ บางครั้งเค้าก็นึกว่าเราเป็นคนจีนด้วยนะ พ่นภาษาจีนใส่เราอีก 5555 ไป
ดูบรรยากาศกันดีกว่า




Day 5
วันที่ 5 วันนี้จะเที่ยว Giethoorn ต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะไปยังเมืองสุดท้ายของเรา Amsterdam ค่า

หลังจากปั่นจักรยานเที่ยว Giethoorn กันอย่างเมามันส์จนปวดขาไปหมด ก็ได้เวลาเข้าสู่เมืองหลวง Amsterdam ค่า การเดินทางก็เปิด Google Maps again และแล้วความพีคก็ได้เกิดขึ้น เมื่อรถไฟจอดที่สถานีระหว่างทางจาก Steenwijk ไป Amsterdam แล้วเค้าก็ประกาศอะไรไม่รู้เป็นภาษา Dutch แล้วก็มีคู่สามีภรรยาสูงวัยคู่หนึ่งเดินมาหาเรา คุยกันอยู่นาน สุดท้ายก็เข้าใจตรงกันว่า ถ้าเราจะไป Amsterdam เราจะต้องย้ายที่นั่งไปอยู่ส่วนต้นของขบวนรถไฟ เพราะรถไฟขบวนนี้จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนท้ายจะอยู่ที่สถานีนี้ และส่วนต้นจะมุ่งหน้าสู่ Amsterdam พอรู้แล้วเราตกใจมาก มีแบบนี้ด้วยหรอ 5555 รู้สึกโชคดีมากๆ และขอบคุณคุณตาคุณยายสองคนนั้นมากๆ ที่เดินมาบอกเรา อย่างที่บอกค่ะ ก่อนขึ้นรถไฟ ถามคนแถวนั้นเสมอว่าขบวนนี้ไปได้ไหม แนะนำให้เปิดชื่อสถานที่เป็นตัวหนังสือโชว์เค้าไปเลย เพราะเราอ่านออกเสียงไม่ถูกแล้วจะผิดไปไกล 55555 และแล้วเราก็มาถึง Amsterdam อย่างปลอดภัยค่ะ มุ่งหน้าสู่โรงแรมก่อนเลย วันนี้ใช้พลังงานไปเยอะ เหนื่อยมาก
Amadi Panorama Hotel โรงแรมที่เราจะพักเป็นเวลา 2 คืนในเมืองนี้จ้า


หลังจาก check-in แล้วเราก็ตัดสินใจว่าจะออกมาหามื้อเย็นแถวๆ โรงแรมแล้วค่อยเริ่มเที่ยวจริงจังในวันต่อไป
แล้วเราก็ไปจบลงที่ร้าน KOH Kitchen of Happiness ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยจ้า อร่อยดี ดีกว่าร้านใน Utrechtมากๆ 555 มีความฝังใจ และแล้ววันที่ 5 ก็จบลงไป
Day 6
วันที่ 6 วันนี้เราตื่นแต่เช้าเลย เพราะว่าจะไปเที่ยว Zaanse Schans หมู่บ้านกังหัน ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 40 นาที แต่แน่นอน ก่อนออกก็ต้องจัดอาหารเช้าโรงแรมกันสักหน่อย


พร้อมออกเดินทางไปยังหมู่บ้านกังหันแล้วค่า อันนี้เดินทางค่อนข้างง่ายเลย เราแค่นั่งแทรมจากโรงแรมไป Amsterdam Central Station แล้วก็ไปขึ้นบัสสาย 391 ที่นั่น นั่งไปจนถึงสถานีสุดท้ายก็จะเจอสถานที่ปลายทางของเราค่ะ ตอนก่อนลงจากบัสมีประกาศด้วยนะคะว่าขากลับก็ให้มารอที่ป้ายนี้ ดูใส่ใจประชาชนดีมากๆ เลยค่ะ ช่างน่าอยู่จริงๆ ประเทศนี้ หมู่บ้านนี้เข้าฟรีนะคะ
ที่นี่ก็เป็นอีกที่นึงที่เราชอบมากๆ ในทริปนี้ค่ะ กังหันแต่ละอันเนี่ยจะมีหน้าที่ต่างๆ กันไป เช่นอันที่เราเข้าไปดูใช้บดทำผงสี ซึ่งมันจะเป็นกลไกต่อๆ กันลงมาจนในที่สุดก็ทำให้ล้อใหญ่ๆ หมุนวนทับวัตถุดิบสีไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นผงละเอียดค่ะ เราสามารถเข้าไปชมข้างในได้ด้วยนะ เสียเงินแค่ 4 ยูโรเอง ส่วนบ้านหลังอื่นๆ ที่ไม่ใช่กังหันก็จะมีขายของต่างๆ มีที่เช่าจักรยาน ร้านขายของที่ระลึก ร้านขายเบเกอรี มีร้านที่น่าสนใจมากๆ สำหรับเราร้านนึง ชื่อว่า Zaans Gedaan คือขายช็อกโกแลตค่ะ packaging น่ารักน่าซื้อมาก แถมยังมีโชว์ทำช็อกโกแลตด้วยนะ แบบเริ่มตั้งแต่เป็นเมล็ดโกโก้เอามาบดเลย ร้านนี้ก็ได้เงินเราไปเลยจ้า 555
หลังจากอิ่มอก อิ่มใจ ละลายทรัพย์กันไปพอประมาณ ก็ได้เวลาไปเที่ยวเมืองหลวงจริงๆ ซะที แต่ขอบอกว่า เราแทบไม่ได้เที่ยว tourist attraction เลยค่ะ เน้นเดินตามใจตัวเองเสียมากกว่า เนื่องจากเดินจนเมื่อยแต่อยากจะเที่ยวต่อ เราเลยตัดสินใจล่องเรือค่ะ จุด start ล่องเรือมีเยอะมากๆเลยค่ะ ไม่ต้องเดินหาก็เจอเพียบ เราก็เลือกอันที่ใกล้ที่สุดแล้วก็ซื้อตั๋วโลด คนละ 11 ยูโรค่ะ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง เราว่ามันดีนะ มีเสียงเล่าเรื่องบนเรือด้วย คิดว่าน่าจะเป็นเทปอัดเสียงค่ะ เรือเค้านิ่งและเงียบมาก ไม่สั่นโคลงเคลงแบบเรือบ้านเรา เพราะที่นี่เป็นเรือไฟฟ้าค่ะ เราชอบนะ ถ้ากลับไปแล้วว่างๆ ก็คงจะล่องเรืออีกค่ะ




คนที่นี่เค้าก็พักผ่อนด้วยการล่องเรือเหมือนกันนะคะ คิดวาหลายๆ คนคงมีเรือเป็นของตัวเอง เพราะเห็นมีเรือจอดอยู่หน้าบ้านเกือบทุกบ้านที่ติดคลองเลยค่ะ
เราก็เดินเล่นจนค่ำพอได้มีภาพ Amsterdam ยามค่ำคืนแล้วก็กลับที่พักค่ะ


ดื่มด่ำค่ำคืนแห่ง Amsterdam แล้ว กลับที่พักไปจัดกระเป๋าค่ะ คืนสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้เราจะไปถ่ายรูปกับป้าย I Amsterdam กัน
Day 7
และแล้ววันสุดท้ายก็มาถึง ตอนแรกตั้งใจว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อไปถ่ายรูปคนจะได้ไม่เยอะ ปรากฏว่า ตื่น 8 โมงจ้า แล้วไหนจะอาบน้ำ แต่งตัว เก็บของ check-out อีก โอเค สรุป ไปถึงป้ายตอน 10 โมงเช้า ตามคาดค่ะ คนเยอะมากกกกกกกกก ไม่เห็นหนทางที่จะได้ถ่ายเลยจ้า 55555 (ในเลข 5 มีน้ำตาซ่อนอยู่) เรารอจังหวะนานมาก และใช้เวลาอยู่กับไอป้ายเนี้ยะ นานมาก สุดท้ายก้ได้รูปที่พอใจ เสียเวลาไปทั้งสิ้น ชั่วโมงครึ่งจ้า
ถ่ายรูปเสร็จแล้วเราก็ไปต่อกันที่ตลาดแถวๆนั้นค่ะ ชื่อว่า Albert Cuypmarket ซึ่งมีขายทุกอย่างเลยค่ะ ทั้งของกิน ของใช้ ดอกไม้ ของสด ของที่ระลึก เดินเพลินเลยทีเดียว และที่นี่เป็นที่ที่ Stroopwaffle อร่อยที่สุด ที่กินมาตลอดทริปไม่มีร้านไหนสู้ได้เลย ร้านจะเป็นโทนสีแดงๆ ค่ะ แม่เราซื้อไปฝากคนอื่นเพียบเลย อร่อยจริงๆนะ ขอให้มาลองกัน เค้าทำสดๆ ตรงนั้นเลยค่ะ ถ้าอยากกินอันที่เพิ่งทำใหม่ๆ ให้บอกว่าเอา warm stroopwaffle ค่ะ ชิ้นละ 1.5 ยูโร อันใหญ่มาก ฟินไปอีกกก เที่ยวกันจนพอใจ มีของฝากติดไม้ติดมือไปให้คนที่เมืองไทยแล้ว ก็ได้เวลาขึ้นแทรมกลับโรงแรมค่ะ
เราให้ทางโรงแรมนัดแท็กซี่ไว้ให้ตอนบ่าย 2 ค่ะ เราเตรียมพร้อมและนั่งรอแทกซี่กันตรง reception ของโรงแรมค่ะ พอแท็กซี่มาปุ๊บ พวกเราก็พร้อมปั๊บ ขอบอกว่ารถแท็กซี่ดีมากกก เป็น Benz เปิดประทุนด้วย ระหว่างทางพ่อเราก็คุยกับคนขับ ถามราคารถ ราคาบ้านที่นั่น เหมือนพ่อจะย้ายมาอยู่จริงๆ 555 ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็ถึงสนามบินแล้วจ้า เค้าจะถามว่าเราบินสายการบินอะไร แล้วก็ไปจอดตรงประตูนั้น เดินเข้าไปปุ๊บก็คือที่ check-in เลยจ้า จากประสบการณ์รู้สึกว่าแท็กซี่ที่นี่จะส่งแบบถึงที่ คือถึงที่จริงๆ แค่ก้าวลงจากรถก็คือจุดที่เราต้องการเลยอะ แล้วก็เปิดประตูรถให้ ขนของให้ เรียกได้ว่าบริการดีมาก ประทับใจมาก ส่วนราคาก็ตามนั้นฮะ ของเราค่าแทกซี่มาสนามบิน 60 ยูโรนะจ๊ะ
เรียบร้อยแล้วก็เช็คอินโลดดดด พอมาถึงจุดที่ต้องโหลดกระเป๋าก็เจอเซอร์ไพรส์อีกละจ้า เอ้ะ ไอ้เครื่องนี้มันคืออะไร เราต้องทำยังไง งงไปดิ คือมันเป็นที่โหลดกระเป๋าอัตโนมัติ Boarding pass เราจะมี QR code อยู่ก็เอาไปสแกน เอากระเป๋าวางในเครื่องตามที่มันบอก เสร็จแล้วเครื่องก็จะปริ้นกระดาษยาวๆ ออกมาให้เราติด tag กระเป๋า ติดเสร็จเครื่องก็จะชั่งน้ำหนัก วัดไซส์ รวมทั้งเช็ค label กระเป๋าเราด้วย เจ๋งไปอีกกก เสร็จแล้วมันก็จะเลื่อนกระเป๋าเราไปตามรางจ้า บอกแล้วว่าเทคโนโลยีประเทศนี้มันก้าวไกลเหลือเกิน ตอนทำรู้สึกสนุกดีนะ อยากไปช่วยคนข้างๆทำเลยอะ 55555 เสร็จสิ้น จบทริปแล้วจ้า
ปล. ใครเงินเหลือแนะนำดิวตี้ฟรีสนามบิน ช้อปเพลินแน่นอนค่ะ ละลายทรัพย์จนวินาทีสุดท้ายจริงๆ
Time to Say Goodbye
ด้วยเวลาอันแสนสั้นที่เรามี ทำให้เราต้องบอกลาประเทศอันแสนน่าอยู่นี้ จริงๆ แล้วอยากจะอยู่ต่อให้ครบ 3 เดือนตามอายุวีซ่าเลย แต่ต้องกลับไปเรียนจ้า ทริปนี้ต้องขอบคุณ Expedia มากๆ ที่จัดกิจกรรมดีๆ ขึ้นมาให้เราได้ร่วมสนุก แล้วก็ได้มาเที่ยวเนเธอร์แลนด์ ประเทศในฝันของเราและพ่อเราด้วย ภูมิใจมาก อย่างน้อยก็ได้พาพ่อเที่ยวแล้ว 1 ครั้ง อิอิ เราชอบประเทศนี้มากเลยนะ คนที่นี่ใจดีมากๆ พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือเราตลอด แถมทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก เหมือนเป็นภาษาที่ 1.5 (ดีเกินกว่าจะนับเป็นภาษาที่ 2) เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากจะมาที่นี่แต่กลัวจะหลง กลัวสื่อสารไม่ได้ แต่ถ้าคุณพอพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง รับรองว่าเที่ยวสนุกแน่นอนค่ะ แล้วจะประทับใจที่นี่แน่นอนค่ะ
[package_deals title=’ดีลแนะนำ กรุงเทพ-อัมสเตอร์ดัม’ deals=’hotels,flights,packages’ ]
คลิกเพื่อติดตามเรื่องราวของผู้โชคดีคนอื่นๆ
อ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับ ข่าวสารเอ็กซ์พีเดีย
เร็วๆ นี้: มหกรรมลดราคารับเทศกาล Black Friday ของเอ็กซ์พีเดียใกล้เข้ามาแล้ว ในปีนี้ เราจะเริ่มกันตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่เราจะพูดถึงดีลต่างๆ มาดูกันว่าคุณต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างสำหรับสุดสัปดาห์แห่งการช้อปปิ้งสุดยิ่งใหญ่ของปี
สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่อาจจะคุ้นชินกับวิธีการจองโรงแรมกับ Expedia แล้ว แต่อยากรู้ว่าระหว่างจองมีเคล็ดลับยังไงในการหาโรงแรมที่ใช่ หรือข้อมูลอะไรที่ควรเช็คให้ดี บทความนี้คือบทความสำหรับคุณ! เราจะจำลองการจองโรงแรม และชี้ให้เห็นว่ามีจุดไหนบ้างที่น่าโฟกัสเป็นพิเศษ ตามมาเลย
เพื่อนๆ บางคนอาจจะยังสงสัยอยู่ว่าการจองโรงแรมบนเว็บ Expedia นั้นทำยังไง วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจให้ทุกคนเอง!
เอ็กซ์พีเดียแนะจองเที่ยววันเสาร์เพิ่ม ช่วยนักท่องเที่ยวไทยประหยัดขึ้นมากกว่า 65% เอ็กซ์พีเดีย กรุ๊ป และบริษัท แอร์ไลน์ รีพอร์ทติง คอร์ปอเรชั่น เผยรายงานแนวโน้มราคาการท่องเที่ยวปี 2562 พร้อมเคล็ดลับที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและวิธีที่ทำให้ตัดสินใจเดินทางได้ง่ายขึ้น รายงานแนวโน้มราคาการท่องเที่ยวของปี 2562[1] ที่จัดทำขึ้นเอ็กซ์พีเดีย...