อมฤตสาร์เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาและคึกคักไปด้วยบรรดาผู้คนและผู้แสวงบุญที่เดินทางมาจากทั่วทุกส่วนของอินเดีย เพื่อมาสักการะวิหารทองคำที่งดงาม ออกสำรวจเมืองเก่าที่น่าหลงใหลของอมฤตสาร์และค้นพบเสน่ห์ของอมฤตสาร์ยุคสมัยใหม่ ที่เฟื่องฟูอยู่ในบริเวณทั้งสองฝั่งของทางรถไฟในย่านทางตอนเหนือ เที่ยวชมวัดอื่นๆ ของเมือง และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองจากพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
อมฤตสาร์ก่อตั้งขึ้นในปี 1577 โดย Guru Ram Das หลังจากที่เขาได้ค้นพบบ่ออาบน้ำซึ่งเชื่อว่ามีพลังอำนาจในการบำบัด เมืองแห่งนี้ได้เติบโตจนกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในปัญจาบและมีโอกาสได้ต้อนรับผู้มาเยือนหลายล้านคนในแต่ละปี ซึ่งส่วนมากเป็นชาวซิกข์ที่เดินทางมาเพื่อมาสักการะวิหารทองคำที่มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
ชมส่วนหน้าของโบสถ์สีทองที่เปล่งประกายยามต้องแสงแดด และมีรูปลักษณ์ประดุจลอยอยู่เหนือน้ำ ก่อนที่จะเข้าภายในโบสถ์ ควรล้างเท้าของคุณก่อนและใช้ผ้าพันคอคลุมศีรษะของคุณ เมื่อเข้ามาภายในโบสถ์ คุณจะมองเห็นพระมหาคัมภีร์ คุรุ ครันธ์ ซาฮิบที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาซิกข์ โดยชาวซิกข์จะอ่านออกเสียงตามพระคัมภีร์นี้ระหว่างช่วงพิธีกรรมประจำวัน สถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ศูนย์กลางซิกข์ ซึ่งรวบรวมภาพเขียนที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติของศาสนาซิกข์
ไปสำรวจเมืองเก่าที่ตั้งอยู่ภายในประตูเมืองทั้ง 12 ประตู เพื่อค้นพบสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย ไปเยือนวัด Mata Temple ที่มีลักษณะคล้ายถ้ำ วัดแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสถานที่สักการะที่สำคัญทางศาสนาฮินดูของเมืองนี้ พระราชวังฤดูร้อนของมหาราชารันจิต สิงห์ ในอดีต ในปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงอาวุธ ภาพวาดสีน้ำมัน และโบราณวัตถุอื่นๆ ที่มาจากยุคซิกข์
เดินเที่ยวชมไปรอบๆ สวนสาธารณะ Jallianwala Bagh ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่อมฤตสาร์ในปี 1919 ในเวลานั้น ทหารอังกฤษได้สังหารผู้ประท้วงที่ปราศจากอาวุธไปมากกว่า 1,000 คน
อมฤตสาร์มีสนามบินนานาชาติและจุดเชื่อมต่อรถไฟที่ดีสำหรับการเดินทางไปยังเมืองที่สำคัญอื่นๆ ทุกเมืองของอินเดีย เนื่องจากความเป็นที่นิยมของเมืองจึงทำให้มีการจราจรคับคั่ง ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ คือใช้บริการรถสามล้อ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการมาเยือนคือ ฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงมีนาคม
