ชมร่องรอยจากยุคโรมันที่ยังคงหลงเหลืออยู่ท่ามกลางชายหาดอันใสสะอาดและท่าเรือ Isola del Giglio อันเงียบสงบ เยือนเกาะส่วนใหญ่ที่ยังปกคลุมด้วยป่าไม้และพื้นที่อันสวยงามต่างๆ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยว เพลิดเพลินกับวิถีชีวิตที่ไม่เร่งรีบขณะสำรวจร้านบูติกและร้านกาแฟที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ และถนนหนทางอันเงียบสงบ
เมื่อเดินทางมาถึง ลองสำรวจท่าเรือที่สร้างขึ้นในสมัยโรมันที่ Giglio Port บนชายฝั่งด้านทิศตะวันออกของเกาะ ชื่นชมบรรยากาศอันเงียบสงบและบ้านเรือนสีสันสวยงามที่กระจายตัวอยู่รอบๆ ท่าเรือ ชมซากวิลล่าของตระกูล Domitius Ahenobarbus ที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากยุคโรมัน แหงนมองประภาคารสองแห่งและหอคอย Saracen จากนั้นไปช้อปปิ้งแล้วใช้เวลาจนถึงช่วงค่ำเมื่อบาร์และร้านอาหารต่างๆ เริ่มคึกคักจนถึงที่สุด
เดินทางต่อไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของท่าเรือเพื่อชมหมู่บ้าน Giglio Castello ซึ่งล้อมรอบด้วยกำแพงป้อมปราการจากยุคกลาง ตื่นตากับทัศนียภาพของท้องทะเลและเนินเขาเขียวขจีจากโบสถ์ San Pietro Apostolo ซึ่งมีไม้กางเขนพระเยซูบนงาช้างจากศตวรรษที่ 16 รวมถึงวัตถุทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่น่าสนใจ
เดินทางต่อไปทางตะวันตกเพื่อมุ่งสู่ชายฝั่งทะเลและหาทำเลนั่งปิกนิกฟังเสียงทะเลใกล้กับชายหาด Campese แม้ว่าพื้นที่ตรงนี้จะถือเป็นส่วนที่เพิ่งเปิดใหม่ของเกาะ แต่ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของหอคอย Campese ที่สร้างขึ้นเมื่อสมัยศตวรรษที่ 16 ชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่มีมนต์ขลังเมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง ดำดิ่งลงไปในน้ำทะเลใสและอบอุ่นร่วมกับผู้ให้บริการดำน้ำลึกบนเกาะ
เกาะนี้อยู่นอกชายฝั่งทางตะวันตกของอิตาลี ตั้งอยู่ระหว่างพื้นที่ชายฝั่งและเกาะคอร์ซิกา เป็นเกาะขนาดเล็กที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติ Arcipelago Toscano และเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะในแคว้นทัสกานี ที่นี่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเกี่ยวกับการจำกัดยานพาหนะที่เข้าไปยังเกาะ ดังนั้น จึงควรโดยสารเรือข้ามฟากจาก Porto Santo Stefano ใน Monte Argentario จะเป็นการดีที่สุด การเดินทางสามารถขึ้นเครื่องบินมาลงที่สนามบินนานาชาติปิซา จากนั้นนั่งรถโดยสารต่อไปยังเมืองท่าแห่งนี้
พื้นที่นี้มีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน โดยมีอากาศร้อนในฤดูร้อนและอบอุ่นในฤดูหนาว Isola del Giglio มีทัศนียภาพของป่าไม้บนเขาที่สวยงามและท้องทะเลอันระยิบระยับที่ช่วยเติมเต็มความงดงามของท่าเรือทางประวัติศาสตร์และชายหาดต่างๆ