กว่า 25 ปีที่ผ่านมา ดูไบมีการพัฒนาชนิดที่ว่าสูงเสียดฟ้าขึ้นไปเรื่อยๆ จากอาหรับที่แสนนิ่งเฉย กลายมาเป็นเมืองหนึ่งในโลกที่ไม่หยุดนิ่งและสร้างความประทับใจได้เสมอ ดูไบขยายตัวได้อย่างรวดเร็วมาก เพราะเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ตึกสูงสักตึกในดูไบยังไม่มีให้เห็นด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ ดูไบมีเกาะขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเป็นรูปต้นปาล์มสามารถมองเห็นได้จากชั้นบรรยากาศรวมถึงจากตึกที่สูงที่สุดในโลกอย่าง Burj Khalifa
ดูไบคือรัฐหนึ่งในทั้งหมด 7 รัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และปกครองโดยราชวงศ์ที่มีวิสัยทัศน์และความทะเยอทะยานในการขับเคลื่อนให้ดูไบมีความเจริญก้าวหน้าและเกิดเป็นปรากฎการณ์ที่ผู้คนต้องจดจำ การค้นพบทรัพยากรน้ำมันในช่วงปีทศวรรษ 1960 ทำให้พื้นที่ซึ่งเคยเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงแสนเรียบง่าย กลายมาเป็นศูนย์กลางการเงินและการคมนาคมที่เปี่ยมด้วยอำนาจ และเมื่อทรัพยากรน้ำมันเริ่มลดลง เมืองก็ได้เปลี่ยนจุดสนใจมายังการท่องเที่ยวแทน
หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของดูไบได้แก่ห้างสรรพสินค้า ลองมาเดินชมถนน Gold Souk ที่เต็มไปด้วยความระยิบระยับจากเครื่องประดับ หรือจะหลุดเข้าไปยังสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งอย่างดูไบมอลล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ห้างนี้มีร้านมากกว่า 1,000 ร้าน ตลอดจนพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและสวนสนุกภายในอาคารด้วย
ดูไบยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ท้าทายสภาพภูมิประเทศที่แห้งแล้งด้วย ยืนตะลึงงันที่หน้าน้ำพุดูไบ ซึ่งเป็นน้ำพุเต้นรำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จากนั้นเตรียมตัวเล่นสกีได้ที่สกีรีสอร์ทในร่มที่มีชื่อว่าสกีดูไบ
สิ่งที่น่าสนใจในดูไบมีอีกมากมาย นอกเหนือจากแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ ที่นี่ยังมีชายหาดให้ได้พักผ่อนหย่อนใจ พื้นที่ชุ่มน้ำที่อุดมไปด้วยธรรมชาติ และคุณยังจะได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของทะเลทรายได้ที่เขตอนุรักษ์ธรรมชาติทะเลทรายดูไบ
สภาพภูมิอากาศของดูไบเอื้อให้คนสามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ถ้าคุณไม่ชินกับอากาศร้อนที่อาจจะพุ่งสูงถึง 104 องศาฟาเรนไฮต์ (40 องศาเซลเซียส) แล้วล่ะก็ ควรจะมาเที่ยวในช่วงฤดูหนาวหรือฤดูใบไม้ผลิดีกว่า
ดูไบยังมีระบบคมนาคมสาธารณะที่ดีเยี่ยม โดยมีรถประจำทางมากกว่า 50 สาย มีแท็กซี่น้ำและรถไฟใต้ดินด้วย แต่ถ้าคุณอยากจะขับรถในดูไบ ก็ยังมีบริษัทให้เช่ารถยนต์ที่คุณจะเช่ารถคันโปรดแบบไหนก็ได้ที่ต้องการ มีทั้งรถฮัมเมอร์และรถหรูจากอิตาลี รถยนต์ธรรมดาๆ ก็มีเช่นกัน