สิ่งที่ดึงดูผู้คนมายังเมืองมอเรเลียคือศูนย์กลางการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เดินชมสภาพบ้านเรือนตามถนนหนทางย่านดาวน์ทาวน์ที่เต็มไปด้วยอาคาร โบสถ์ ปราสาท และคฤหาสน์ยุคอาณานิคมที่ล้วนสร้างมาจากหินภูเขาไฟสีชมพูทั้งสิ้น ปัจจุบัน อาคารเหล่านี้เป็นที่ตั้งของร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ และโรงแรมมากมาย
มอเรเลียเป็นเมืองแรกๆ ที่สร้างขึ้นโดยนักล่าอาณานิคมชาวสเปนในศตวรรษที่ 16 เมื่อแรกนั้น ที่นี่มีชื่อว่าวาลลาโดลิด และได้เปลี่ยนชื่อในปี 1828 เพื่อเป็นการสดุดีให้กับ Jose Maria Morelos y Pavon วีรบุรุษผู้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพของเมือง
เริ่มต้นการเดินทางชมประวัติศาสตร์ในวิหารมอเรเลียสไตล์บาร็อคที่เน้นความใหญ่โตอลังการด้วยหอคอยที่สูงถึง 70 เมตร ด้านในวิหารนี้มีภาพปูนเปียกและออร์แกนที่มีปล่อง 4,600 ปล่อง กลับมาที่นี่อีกครั้งในวันเสาร์เพื่อชมแสงไฟของโบสถ์ พร้อมฟังดนตรีและดูพลุไฟ
อย่าลืมแวะที่สภาเมืองซึ่งเป็นอาคารสมัยศตววรษที่ 18 เพื่อชมภาพวาดฝาผนังที่เป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวสู่อิสรภาพของเม็กซิโก ใกล้ๆ กันนั้นยังมี Museo Casa Natal de Morelos ซึ่งเป็นสถานที่เกิดของวีรบุรุษผู้นำการปฏิวัติผู้นี้ บ้านหลังนี้ได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีเรื่องราวชีวิตของเขาให้ได้ชมตามลำดับเวลา เดินต่อไปทางตะวันออกอีกหน่อยเพื่อชมประตูน้ำโบราณที่รองรับด้วยซุ้มโค้งมากถึง 200 โค้งด้วยกัน
ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ฝูงผีเสื้อจักรพรรดิมากกว่า 60 ล้านตัวจะพากันอพยพจากแคนาดาและอเมริกาลงมาที่ป่าทางตะวันตกของเขตเม็กซิโกตอนกลาง เที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์ชีวมณฑลของผีเสื้อจักรพรรดิ ซึ่งเป็นบริเวณพื้นที่สงวนในเทือกเขา Michoacan ที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกของมอเรเลียประมาณ 2 ชั่วโมง ชมแมลงมีปีกสีสันสดใสเกาะบนต้นสนและสน Oyamel
ขับรถออกมาจากมอเรเลียเพียงไม่ถึงชั่วโมง คุณจะพบกับทะเลสาบ Patzcuaro แวะร้านขายสินค้าหัตกรรมในหมู่บ้านริมทะเลสาบ นั่งเรือไปที่เกาะ Janitzio เกาะเล็กๆ ในทะเลสาบ แล้วเดินขึ้นเนินเขาเพื่อไปชมรูปปั้นมอเรลอส อย่าลืมแวะร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกตามทางที่เดินด้วย
ขึ้นเครื่องบินมาลงที่สนามบินนานาชาติมอเรเลีย แล้วเที่ยวชมเมืองด้วยรถประจำทาง แท็กซี่ หรือเช่ารถขับก็ได้ เพลิดเพลินกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ไม่ใช่เชิงประวัติศาสตร์และธรรมชาติได้ด้วย อย่างการฟังคณะนักร้องประสานเสียงที่ขับร้องโดยเด็กผู้ชายที่เรือนกระจกเพาะกุหลาบ ชิมผลไม้ “Ates” ในพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นสำหรับขนมหวาน และดินเนอร์ในร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารท้องถิ่นจานเด็ด วางแผนการเดินทางมาที่มอเรเลียเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะที่นี่มีอากาศอบอุ่นในตอนกลางวันและอากาศเย็นสบายในตอนกลางคืนตลอดทั้งปี