โดยที่เป็นอ่าวจอดเรือของเมืองที่อยู่ใต้สุดของโลก ท่าเรืออูซัวยาเป็นที่จอดของเรือขนาดใหญ่และเรือยอชท์จำนวนมาก ที่นี่เป็นทั้งประตูสู่ทวีปแอนตาร์กติกาและแหล่งประวัติศาสตร์ ซึ่งดาร์วินและคนอื่นๆ เคยมาเยี่ยมเยียนในการเดินทางเพื่อการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ จินตนาการถึงอดีตที่น่าสนใจของอ่าวจอดเรือแห่งนี้ ในขณะที่คุณเพลิดเพลินกับทัศนียภาพของภูเขาที่มีหิมะปกคลุมที่ล้อมรอบ
สังเกตป้ายที่บอกว่า “Fin del Mundo” (สุดทางโลก) ในขณะที่เข้าไปในท่าเรือ คำอธิบายนี้ให้คุณได้สัมผัสความรู้สึกที่แท้จริงของความสำคัญทางภูมิศาสตร์ของแหลมทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้แห่งนี้ เข้าไปในท่าเรือเพื่อดูเรือต่างๆ ร้านอาหารและบาร์หลายแห่งตั้งอยู่ริมถนนและทั้งในและรอบๆ ท่าเรือ พักด้วยการชมวิวของภูเขาที่มีหิมะปกคลุมที่แต่งแต้มพื้นที่ที่อยู่ไกลออกไปจากช่องแคบบีเกิล
ซากเรืออับปางเซนต์คริสโตเฟอร์อยู่ค่อนไปทางตะวันตกเล็กน้อย อดีตเรือรบของราชนาวีอังกฤษลำนี้ปฏิบัติภารกิจในสงครามโลกครั้ง 2 ก่อนที่จะถูกขายไป และในที่สุดก็เกยตื้นบนโขดหินเล็กๆ ข้างท่าเรือแห่งนี้ มาดูเรือสีขาวดำเรืองแสงท่ามกลางพระอาทิตย์ตกที่มืดสลัวในตอนเย็น
เพื่อสัมผัสประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น ตรงไปที่อนุสรณ์สถานมัลวินาสในบริเวณใกล้เคียง เรียนรู้ความสำคัญของสงครามฟอล์คแลนด์กับอังกฤษใน ค.ศ. 1982 เมื่อสนทนากับคนในพื้นที่ คุณต้องเรียกชื่อหมู่เกาะและสงครามนี้ด้วยชื่อสเปนว่ามัลวินาส เนื่องจากชื่ออังกฤษถือเป็นการไม่เหมาะควร
ล่องเรือจากท่าเรือไปยังพื้นที่ของแอนตาร์กติกาที่ยังไม่มีใครกล้ำกราย การเดินทางส่วนมากของโลกไปยังทวีปที่ปกคลุมด้วยหิมะแห่งนี้มาจากท่าเรืออูซัวยา
เรียนรู้ประวัติของอ่าวจอดเรือ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสำรวจทวีปอเมริกาใต้ของชาวยุโรปหลายครั้ง เมืองนี้เคยเป็นที่อยู่ของคนพื้นเมืองชาวยามานา ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นทัณฑนิคมเมื่อต้นศตวรรษที่ 20
มองหาท่าเรืออูซัวยาข้างๆ ป้าย “Fin del Mundo” บนชายฝั่งทิศใต้ของเมือง ซึ่งอยู่ห่างหลายช่วงตึกจากอนุสาวรีย์มัลวินาส และเพียงสองช่วงตึกจากทำเนียบรัฐบาล