บริตทานีอยู่ติดช่องแคบอังกฤษ ตรงกันข้ามกับประเทศอังกฤษ จึงมีความผูกพันกับสหราชอาณาจักรอย่างแนบแน่นยาวนาน ตำนานกษัตริย์อาเธอร์เกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้ที่เคยอุดมไปด้วยผืนป่าและเรื่องราวลึกลับ ปัจจุบันเขตป่าส่วนใหญ่สูญหายไปแล้ว นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษจึงเข้ามาที่บริตทานีเพื่อพักผ่อนตามเมืองตากอากาศหรือเข้าชมป้อมปราการจากสมัยกลาง นั่งริมชายหาด สำรวจชมเมืองโบราณ และทำความรู้จักกับมรดกชาวเคลต์ในแคว้นบริตทานี
ด้วยลักษณะพื้นที่ที่ยื่นออกมาจากแนวชายฝั่งแอตแลนติกของฝรั่งเศส ทำให้บริตทานีมีชายฝั่งทั้งทิศเหนือและทิศใต้ เรียงรายไปด้วยหาดทรายและเกาะต่างๆ ดินาร์ดบนชายฝั่งทิศเหนือมีชายหาดที่งดงามยิ่ง อีกทั้งยังมีเมืองตากอากาศแสนคลาสสิกที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวชนชั้นสูงชาวอังกฤษ ขับรถเลียบไปตามแนวชายฝั่งทิศเหนืออันกว้างใหญ่ที่มีชื่อเรียกว่า Côte de Granit-Rose (Rose-Granite Coast) ซึ่งมีหินสีชมพูทอดตัวยาว ลงเล่นน้ำบริเวณชายหาดซึ่งถูกคุ้มครองที่เมือง Ploumanac’h
ขึ้นเรือเฟอร์รีไปยังเกาะใดเกาะหนึ่งนอกชายฝั่งบริตทานี เช่น Île de Bréhat ประชากรราว 400 คนอาศัยอยู่บนเกาะคู่ปลอดรถยนต์ที่เชื่อมต่อถึงกันนี้ นอกชายฝั่งทิศเหนือ Belle-Île นอกชายฝั่งทิศใต้คือเกาะใหญ่ที่สุดของบริตทานี มีชายหาด 60 แห่งและโรงแรมรีสอร์ตให้เลือกพักอย่างหลากหลาย เมื่อคุณเดินทางมาถึงเมืองท่า Le Palais ให้ลองสังเกตชม Citadelle Vauban ซึ่งสร้างเป็นรูปดาว
ท่องเที่ยวเมืองต่างๆ บนแผ่นดินใหญ่ ชมสิ่งเก่าแก่ที่สืบทอดมาจากยุโรปสมัยกลางและก่อนหน้านั้น เดินเลียบกำแพงแซ็ง-มาโล ซึ่งเป็นเมืองสมัยกลางที่มีป้อมปราการ ตั้งอยู่บนชายฝั่งทิศเหนือ Josselin เป็นหนึ่งในเมืองที่งดงามที่สุดในบริตทานี มีชาโตว์กับหอคอยสามหลังตั้งอยู่ริมคลอง ปราสาทหลังนี้เปิดให้ทัวร์ชมในเดือนเมษายนถึงตุลาคม เยี่ยมชม Carnac บนชายฝั่งทิศใต้ของบริตทานีเพื่อดูหินโบราณที่ตั้งเรียงกันเป็นระเบียบกว่า 10,000 ก้อน
คุณสามารถโดยสารเรือเฟอร์รีมาที่บริตทานีได้จากสหราชอาณาจักร หรืออาจขึ้นรถไฟ รถบัส หรือเครื่องบินมาจากปารีสก็ได้ ท่องเที่ยวชายหาดระหว่างวันไปกับชาวอังกฤษในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศอบอุ่นที่สุด