แอนติกาและบาร์บูดาตั้งอยู่ในทะเลแคริบเบียนตะวันอ อก เชื่อมต่อกันด้วยหาดอันสวยงาม นักท่องเที่ยวมากมายเดินทางมายังเกาะทั้ง 2 เพื่อพักผ่อนบนหาดทรายสีขาวอมชมพู ตลอดจนชมแนวปะการังและซากเรือ พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับป่าเขตร้อนและบรรดานกชนิดต่างๆ
แอนติกามีพื้นที่มากกว่าอีกเกาะหนึ่ง และเป็นจุดที่เที่ยวบินนานาชาติลงจอดและเรือโดยสารเทียบท่า เมื่อได้ที่พักแล้ว ลองแวะไปที่ชายหาด ที่นี่มีหาดเป็นร้อยๆ แห่งให้เลือก อ่าว Dickenson และอ่าว Runaway บนชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่มาเป็นครอบครัว ส่วนอ่าว Half Moon บนชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีชื่อเสียงในหมู่นักเล่นเซิร์ฟ ผจญภัยสักเล็กน้อยระหว่างทริปด้วยการโหนสลิงข้ามป่าดิบชื้นของแอนติกา
เยี่ยมชมวิหารเซนต์จอห์น สถาปัตยกรรมบาร็อคยุคกลางศตวรรษที่ 19 ณ กรุงเซนต์จอห์น เมืองหลวงของประเทศ ช้อปปิ้งที่ตลาดนัดชาวสวนและเรียนรู้ประวัติศาตร์ของประเทศได้ที่พิพิธภัณฑ์แอนติกาและบาร์บูดา
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในแอนติกา ลองไปที่เมืองอิงลิช ฮาร์เบอร์ เพื่อชมท่าจอดเรือเนลสัน พลเรือเอกโฮราชิโอ เนลสันได้อาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายปีในช่วงทศวรรษที่ 1780 และยังเที่ยวชมอุทยานแห่งชาติรอบๆ ได้เช่นกัน
สามารถเดินทางไปยังบาร์บูดาได้โดยใช้เวลา 90 นาทีด้วยบริการเรือเฟอร์รี Barbuda Express บาร์บูดาเจริญไม่เท่าแอนติกา ทั้งยังไม่พลุกพล่านเท่าและมีรีสอร์ตน้อยกว่า แวะชมเขตรักษาพันธุ์นกโจรสลัด ใกล้กับทะเลสาบทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของนกกว่า 170 สายพันธุ์ ลองสำรวจถ้ำหินปูนที่อ่าว Two Foot เพื่อมองหาค้างคาว
น่านน้ำของเกาะทั้ง 2 แห่งมีจุดดำน้ำลึกและจุดดำน้ำตื้นมากมาย นอกจากสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลแล้ว ยังมีซากเรือมากมายให้สำรวจ อีกด้วย กิจกรรมทางน้ำอื่นๆ ได้แก่ การเล่นเรือใบ คายัค และตกปลา
เมื่อออกไปรับประทานอาหาร อย่าลืมลองชิมเมนูพิเศษของเกาะ ได้แก่ สับปะรดพันธุ์สีดำรสหวานฉ่ำของแอนติกาและกุ้งล็อบสเตอร์ของบาร์บูดา อาหารประจำชาติคือ Fungie (แป้งข้าวโพดผสมกระเจี๊ยบเขียว) และ Pepperpot
ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวที่แอนติกาและบาร์บูดาคือระหว่างกลางเดือนธันวาคมจนถึงกลางเดือนเมษายนแม้อากาศจะยังร้อนอยู่ แต่ก็ยังไม่เท่าในช่วงที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อน เชิญมาสัมผัสไลฟ์สไตล์สบายๆ ธรรมชาติ และหาดทรายได้ที่นี่
