ในแต่ละวัน ผู้ศรัทธานับร้อยเดินทางมายังศาลพระพรหมเอราวัณเพื่อกราบไหว้สักการะท้าวมหาพรหมกันไม่ได้ขาด พวงมาลัยหลากสี ควันจากธูปเทียนที่ลอยหนา และเสียงเพลงจากคณะรำแก้บน แสดงถึงความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงมีบทบาทในสังคมไทยยุคใหม่
องค์ท้าวมหาพรหมเป็นหนึ่งในพระตรีมูรติ ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศานาฮินดู ส่วนชื่อ "เอราวัณ" นั้นเป็นชื่อช้างทรงของพระอินทร์ ซึ่งมาจากชื่อโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ บริเวณที่ศาลตั้งอยู่
สำหรับความเป็นมาของศาลพระพรหมเอราวัณ ต้องย้อนกลับไปในปี 2499 ซึ่งเป็นปีที่มีการก่อสร้างโรงแรมเอราวัณ แต่เกิดอุบัติเหตุขึ้นมากมายจนการก่อสร้างต้องหยุดชะงัก ผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์จึงแนะนำให้สร้างศาลพระพรหมขึ้นเพื่อขจัดสิ่งชั่วร้ายและอุปสรรคต่างๆ ให้หมดไป ปัจจุบัน ศาลพระพรหมเอราวัณยังคงคึกคักแทบทุกวันเพราะมีผู้คนเดินทางมาสักการะอย่างไม่ขาดสาย บ้างถึงกับเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากต่างแดนเพื่อขอพร เพราะเชื่อว่าองค์ท้าวมหาพรหมจะช่วยปัดเป่าทุกข์ภัยและส่งเสริมโชคลาภและความสำเร็จ จนสามารถได้กลิ่นควันธูปและได้ยินเสียงเพลงของคณะรำแก้บนได้แต่ไกล
ธูปเทียน ดอกไม้ และของบูชาสามารถหาซื้อได้ที่บริเวณศาล ใครที่ขอพรแล้วประสบความสำเร็จก็จะซื้อพวงมาลัย 7 สี 7 ศอก และจ้างนางรำเพื่อแก้บน รูปปั้นของพระพรหมเอราวัณในปัจจุบัน เป็นองค์จำลองที่สร้างขึ้นใหม่ เนื่องจากองค์เดิมถูกทุบจนแตกในปี 2549
ศาลพระพรหมเอราวัณตั้งอยู่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ สามารถเดินทางไปได้อย่างสะดวกโดยนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีชิดลม